ช่วงนี้กระแสมินิมอล ทำอะไรน้อยๆ (แต่ให้ได้มาก ตามที่คนมักพูดต่อกัน) ดูจะได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้ง ที่มาของแนวคิดน้อยแต่มากนี้ก็คือแดนอาทิตย์อุทัยซึ่งมีวัฒนธรรมผูกพันกับหลักปรัชญาเซน โดยผู้นำทางความคิดในระลอกใหม่ล่าสุดนี้คงหนีไม่พ้น “ดนโด มาริเอะ” เจ้าของหนังสือยอดนิยม Life-Changing Magic of Tidying Up แนะแนววิธีจัดระเบียบที่มีกระบวนการทิ้งข้าวทิ้งของเป็นส่วนสำคัญจนมีคนนำไปทำตามกันจำนวนมาก ถ้าหากเรานำเอาแนวคิดมินิมอลมาใช้ในการจัดกระเป๋าเดินทางบ้างก็คงดีไม่น้อย เพราะไม่ต้องแบกสัมภาระหนักๆ ลดความกังวล ประหยัดเงินไม่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าบนเครื่องบินเพิ่ม และลดการใช้พลังงานได้ด้วย แบบนี้จะไม่เรียกว่าเที่ยวสร้างสรรค์ได้อย่างไรล่ะ
อย่างไรก็ตาม ความคิดเกี่ยวกับการลด ละ เว้นการนำสิ่งของติดตัวไปเยอะๆ ทำกระเป๋าเดินทางให้เบาที่สุดของผมไม่ได้เกิดจากการวางแผนมาอย่างประณีตแต่อย่างใด มันเกิดขึ้นในวันที่มีโปรแกรมเดินทางไปต่างประเทศช่วงที่งานยุ่งสุดๆ จนทำอะไรไม่ทันสักอย่าง ไม่มีแม้เวลาจะมานั่งจัดกระเป๋าอย่างบรรจงเหมือนครั้งก่อนๆ มา ทั้งๆ ที่ทริปครั้งนี้กินเวลาถึง 10 วันและเป็นประเทศที่อากาศค่อนข้างเย็น
ด้วยความหงุดหงิดที่ถูกนาฬิกาปลุกตีสามทั้งๆ ที่นอนไม่อิ่มปนรำคาญตัวเอง ผมจึงจัดกระเป๋าแบบผ่านๆ หยิบ “ข้าวของที่จำเป็น”จริงๆ คือไม่มีแล้วเป็นปัญหากับชีวิตในระดับรุนแรง ตัวอย่างของประเภทนี้ก็เช่น พาสปอร์ต เป็นต้น (ถ้าลืมคือทริปล่ม)และเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น
แต่ก็อย่างว่าละครับ ความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับของบางอย่างที่จำเป็นสำหรับคนหนึ่งมีอาจไม่มีผลอะไรต่อชีวิตอีกคนเลยฉะนั้นการ“ลดทอน”สิ่งของเมื่อต้องเดินทางจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ
กลับมาที่ทริป 10 วันของผม กับกระเป๋าเป้แบนๆ เพียงใบเดียว มันเป็นมิติใหม่สำหรับตัวผมเองในหลายๆ แง่ แง่หนึ่งคือมันทำให้ผมได้กลับมาสำรวจ “ความบ้าหอบฟาง”ของตัวเอง หลายสิ่งหลายอย่างที่เราคิดว่า “ของมันต้องมี”จริงๆ แล้วมันไม่ต้องมีก็ได้ ทำให้ผมคิดถึงนักเดินทางสายโหดที่เห็นผ่านตาทั้งในสารคดี หรือที่เจอตามสถานที่ต่างๆ เหล่าฝรั่งแบ็คแพ๊คเดินทางเป็นปีมีแค่ใบเดียว เออ…เขาก็อยู่ได้ด้วยเป้แค่นี้ การลดของในกระเป๋าของผม ทำให้คิดถึงกระเป๋าของเขา ที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
ลองมาคิดดูกันว่าจะทำอย่างไรบ้างให้เราไม่ต้องพกของติดตัวไปมากมายยามออกทริปอย่างที่เคยทำมา
1) ซ้ำบ้างก็ได้
ในการเดินทางด้วยของที่ลดลง สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ การใส่เสื้อผ้าซ้ำกันสองสามวัน
เรื่องเสื้อผ้านี้ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลอีกเช่นกัน บางคนอาจจะรู้สึกไม่สบายที่ต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ ยิ่งเป็นคนที่มาจากเมืองร้อนอย่างไทย การใส่เสื้อผ้าซ้ำดูเหมือนไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขอนามัย แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่อยู่ฝังในหัวเราว่าใส่เสื้อผ้าครั้งเดียวแล้วต้องซักนั้นอาจเป็นมายาคติที่เราสร้างขึ้นเอง ผมเพิ่งคิดได้ (และปลงได้ว่า)ถ้ามันไม่ได้เหม็น สกปรกอะไร ก็แขวนไว้เอามาใส่ซ้ำได้ เหมือนกับที่บางคนได้กล่าวไว้ว่า“ถ้าใจเราสะอาด เราไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” (เกี่ยวไหม5555)
สำหรับบางคน นี่อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะบอกทำไม แล้วไงอะ ฉันทำมาตั้งนานแล้ว ใช่ครับ และผมเชื่อว่าสำหรับบางคน ก็อาจจะตรงข้ามเลยเหมือนกันคือ เอ้ย ใส่ซ้ำได้ไง ไหวหรอ นี่แหละครับคือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่เคยถามกันและกัน ฝรั่งบางคนเดินทางไปเที่ยวใส่เสื้อผ้าเดิมเป็นอาทิตย์และสำหรับบางคนต้องเอาชุดไปให้ครบจำนวนวัน!!
และสำหรับท่านที่อยากใส่เสื้อผ้าสะอาดๆ เหมือนใหม่แต่ก็ไม่อยากขนไปเยอะ การซักผ้าที่โรงแรมก็เป็นตัวเลือกที่ดี หากโรงแรมมีห้องลอนดรีให้บริการ
2) สดบ้างก็ได้
นอกจากเรื่องเสื้อผ้า หนึ่งในสัมภาระที่กินพื้นที่และน้ำหนักอย่างหนึ่งคือเครื่องสำอาง
มาถึงตรงนี้คุณผู้หญิงหลายท่านอาจเริ่มคิ้วขมวด เพราะความสวยเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม ยิ่งเวลาไปเที่ยวแล้วต้องถ่ายรูปลงโซเชียลด้วยแล้วการปล่อยหน้าสดอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าใด แต่ก็นั่นแหละครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ของจำเป็นของเราไม่เหมือนกัน และความสวยก็เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นการหาชุดเครื่องสำอางที่กะทัดรัดก็น่าจะเป็นการลดจำนวนสัมภาระได้ดี สำหรับชายถึกอย่างตัวผมเองจากที่เคยมีโฟมล้างหน้า ยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน สเปรย์ดับกลิ่น ทุกวันนี้แทบไม่เอาไปสักอย่างเพราะที่โรงแรมมีบริการและถ้าหากไม่มีก็ซื้อแปรงแบบถูกๆ ใช้ได้ ส่วนเรื่องกลิ่นกายถ้าหากเป็นเมืองที่อากาศหนาวก็ตัดทิ้งไปได้เลย
3) ได้ใช้จริงๆ ไหม
ของที่ผมเคยแบกไปไหนมาไหนด้วยเสมออย่างหนึ่งคือหนังสือวรรณกรรม แต่ทุกวันนี้ไม่พกแล้วเพราะจากประสบการณ์ในหลายปีที่ผ่านมาพบว่าถึงเอาไปก็ไม่ค่อยอ่าน และเมื่อเราไปเที่ยวที่ต่างถิ่นต่างที่ทั้งทีจะอยู่ในโลกอักษรไปใย ลองใช้เวลากับ “สถานที่”นั้นๆ ให้เต็มที่อาจจะได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีก็ได้
ผมเคยคิดว่าการไปนั่งอ่านวรรณกรรมดีๆ ในที่ท่องเที่ยวเป็นอะไรที่อภิรมย์และได้ความชิคๆ คูลๆ แต่ทุกวันนี้ไม่อยากคูลแล้ว อยากแค่นั่งโง่ๆ (เพื่อนผมเคยบอกว่าไม่ต้องไปเที่ยวไหนไกลๆ มึงก็โง่อยู่แล้ว) ดูนกดูไม้ ทักทายผู้คน ณ สถานที่นั้นมากกว่า
4) ไปหาเอาข้างหน้า
สมัยเด็กๆ เคยไหมครับเอาขนมยัดใส่กระเป๋าเดินทางด้วย นี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่สุดโต่งไปหน่อย แต่ก็ชัดเจนว่าอะไรที่หาเอาข้างหน้าได้อย่างของกินก็ไม่ต้องเอาติดตัวไปให้หนักกระเป๋า อย่างพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ไดรเป่าผม เตารีด ถ้าหากสามารถหาข้อมูลได้ว่าที่พักมีให้ก็เบากระเป๋าไปได้อีก หรืออย่างเสื้อผ้า เราก็สามารถไปหาซื้อเพิ่มที่ประเทศปลายทางได้ ทำให้ประหยัดพื้นที่กระเป๋าในขาไป
นี่ก็เป็นข้อคิดที่นำมาแบ่งปันเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการลดของในกระเป๋าเดินทาง สำหรับใครอยากจะลดของติดตัว ทริปหน้าก็ลองเล่นเกมสนุกๆ คิดทบทวนก่อนบรรจุของแต่ละชิ้นลงไปในกระเป๋ากันดู
ใครทิ้งใครลดทอนได้มากแค่ไหน เล่าให้ฟังบ้างนะครับ.
コメント